อินเดีย … สัจธรรมแห่งลุ่มน้ำคงคา

Posted by

จากสารนาถ ผมเดินทางต่อมายัง เมืองพาราณสี เป้าหมายหลักคือ แม่น้ำแห่งสวรรค์ “คงคา” ภาพของแม่น้ำคงคาในความคิดคือแม่น้ำที่ไม่น่าจะดูสะอาดตามากนัก ภาพของการเผาศพ การอาบน้ำศพ ในแม่น้ำ ทำให้ผมเกิดอคติและไม่เชื่อว่า “เมืองคงคาแดนสวรรค์” จะมีอยู่จริง

 

หากแต่ผมต้องเปลี่ยนความคิดไปในทันที เมื่อมาถึงซึ่งแดนดินถิ่นสถานแห่งนี้ อคติของผมมันหลอกดวงตาที่กำลังมองเห็นอยู่ไปไม่ได้ ที่นี้สวยงาม ดูสงบ สะอาด และดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่แท้ … ผมเริ่มการเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของ ดินแดนแห่งสวรรค์นี้ต่อไป และคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการล่องเรือ เพื่อค้นหาสัจธรรม ที่กำลังรอเราอยู่

 

จากหนังสือ “อินเดีย เนปาล สีสันแห่งชีวิต” ของคุณวันรวี รุ่งแสง บอกเล่าไว้ มีตำนานหลายเรื่อง แต่เรื่องทีฮิตสุดคือเรื่องฤาษีภาคีรสบำเพ็ญทุกรกิริยา จนกระทั่งนำน้ำพระคงคาจากสวรรค์มาสู่โลกมนุษย์ได้ ความจริงแล้วแม่น้ำคงคาเกิดบนเทือกเขาหิมาลัย สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๓,๘๐๐ ฟุต จากต้นน้ำถึงปากอ่าวยาว ๑,๕๕๑ ไมล์ จุดกำเนิดนั้นเรียกว่า ภาคีรส ไหลลงมาตามช่องเขาสู่ที่ลาดสูงเรียกว่า คงโคตรี ณ ที่นั้นถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของศาสนาฮินดู มีโบสถ์พราหมณ์ตั้งอยู่หลังหนึ่ง ใครๆก็อยากไปที่นั้น
ที่เมืองพาราณสีนี้เป็นจุดที่แม่น้ำคงคาไหลวกกลับขึ้นไปทางทิศเหนือ ซึ่งถือว่าแปลกกว่าที่อื่นๆ ในคัมภีร์มหาภารตะจึงสร้างความสำคัญว่าเป็นที่ซึ่งเทวโลก มนุษย์โลก และยมโลกมาบรรจบกัน ถ้าผู้ใดมาอดอาหารที่นี่ ๑ เดือนและอาบน้ำตรงนี้ บุคคลผู้นั้นจะมองเห็นเทวดา

 

ผมนั่งเรือออกมาจากท่าได้ไม่นาน ภาพพระอาทิตย์กำลังตกดินสวยงามดั่งในความฝันอยู่ตรงเบื้องหน้า ถ้าจะเรียกว่าเป็นเหมือนสวรรค์ก็คงไม่ผิดนัก ตามคติความเชื่อ ชาวฮินดูแยกฝั่งแม่น้ำคงคาออกเป็น 2 ฝั่งคือ ฝั่งที่เห็นอยู่ในภาพนี้เรียกว่า ฝั่งสวรรค์ และอีกฝั่งหนึ่งเรียกว่า ฝั่งนรก ฝั่งสวรรค์จะมีผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้ง พระราชวังเก่า โรงแรม มัสยิตของชาวมุสลิม วัด และบ้านเรือนของชาวฮินดูปลูกแน่นเรียงรายให้เห็นตลอดชายฝั่ง และตรงกันข้าม ฝั่งนรก จะไม่มีผู้คนเข้าไปอาศัยอยู่เลย
….ภาพของชาวฮินดู มาดื่มน้ำ อาบน้ำ มีให้เห็นบ้างประปราย อาจเพราะเป็นเวลาเย็นมากแล้ว และอากาศก็หนาวเย็นไม่ใช่น้อย

 

เรือที่ผมนั่งแล่นเข้าใกล้สู่ท่ามณิกรรณิการ์ทุกขณะ มองเห็นควันไฟได้จากระยะไกล เมื่อเข้าไปใกล้ๆได้ยินเสียงตะโกนมาจากฝั่งว่า “No photo” ฝรั่งสาวนางหนึ่งทำท่าโบกมือส่งสัญญาณให้เห็น พระมหาสิงห์บอกว่า ไม่ควรถ่ายรูปเพราะคนฮินดูจะถือเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ผู้ตาย อันที่จริงผมเองก็ไม่มีความรู้สึกอยากถ่ายภาพแนวนี้อยู่แล้ว เรือวิ่งเข้าสู่ฝั่งและจอดเทียบติดกับเรือที่มาถึงก่อน ภาพที่เห็นคือกองไฟหลายกองกำลังลุกไหม้อยู่

 

จากหนังสือ “อินเดีย เนปาล สีสันแห่งชีวิต” บอกไว้ว่า ท่าน้ำมณิกรรณิการ์ นับว่าเป็นฆาฏ (ท่าน้ำ) ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดในบรรดาท่าน้ำทั้งหลายของแม่น้ำคงคา พิธีกรรมต่างๆจะทำที่นี้ โดยเฉพาะพิธีเผาศพ มีเรื่องเล่าตามคัมภีร์ปุราณะว่าพระศิวะเสด็จมาที่นี่และทำต่างหูหลุดตกลงมาตรงท่าน้ำนี้ จึงเรียกชื่อท่าน้ำว่า “มณิกรรณิการ์” ตามชื่อต่างหู

ท่ามณิกรรณิการ์ เป็นท่าศักดิ์สิทธิ์ที่ฮินดูชนทุกผู้ทุกนามต้องการให้ซากศพของตนได้มาเผาที่นี่ และทุกคนต่างพยายามดั้นด้นมาอาบน้ำตรงนี้ด้วย เป็นเรื่องประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อของโลกนี้

 

“กล่าวกันว่า เพลิงที่จุดไว้ ๔๐๐๐ ปี ไม่เคยดับ เพราะมีศพถูกหามมาเผากันไม่หยุด กองไฟหนึ่งมอดลง พร้อมๆกับเถ้ากระดูกที่ถูกโกยลงสู่แม่น้ำคงคา ศพต่อไปเข้ามาแทนที่ ญาติๆจะวางดุ้นฟืนเป็นกองสี่เหลี่ยมสูงพอประมาณ แล้วยกศพลงจากแคร่ ขึ้นวางบนเชิงตะกอนไม้นั้น สุมฟืนลงไปจนมองไม่เห็นศพ แล้วจึงราดด้วยน้ำมันเนยใส จุดไฟเผากันสดๆ”


พระท่านเล่าต่อว่าชาวฮินดูเชื่อว่าผู้ที่ได้มาเผาศพที่แม่น้ำคงคาแห่งนี้จะได้ขึ้นสู่สวงสวรรค์ เปลวไฟที่เผาไหม้จะทำหน้าที่ในการชำระล้างบาปให้แก่ผู้ตาย ภาพที่เห็นต่อมาคือภาพของกลุ่มคนกำลังแห่ศพลงมา มีศพหนึ่งมีการแห่ด้วยเครื่องดนตรีมโหรีมาด้วย แสดงว่าต้องเป็นผู้มีฐานะพอควร จากนั้นก็จะมีญาติซึ่งมีแต่ผู้ชายหามศพลงมาที่ท่าน้ำ นำศพมาอาบด้วยการกดศพให้จมลงสู่ผืนน้ำ จากนั้นก็จะยกศพขึ้นสู่กองฟืนทำพิธีเผาต่อไป
พระท่านบอกว่าถ้าผ้าห่อศพมาเป็นสีขาวแสดงว่าเป็นผู้ชาย แต่ถ้าเป็นสีเหลืองหรือสีอื่นก็แสดงว่าเป็นผู้หญิง ในสมัยก่อนหากผู้ตายมีภรรยา ภรรยาจะต้องทำพิธีสตี คือจะต้องกระโดเข้ากองไฟตายตามผู้เป็นสามีไปด้วย แต่ปัจจุบันทางการได้ประกาศให้ยกเลิกพิธีสตีนี้ไปแล้ว กระนั้นก็ยังไม่เห็นมีหญิงสาวเข้ามาร่วมในพิธีเผาศพแต่อย่างใด เหตุผลก็คือผู้หญิงกลัวจะถูกญาติของผู้ตายผลักให้เข้าไปในกองไฟนั่นเอง

 

แต่ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นก็คือ จะมีศพอยู่ 5 จำพวกที่ไม่ต้องทำพิธีเผา คือ ศพของเด็ก ศพหญิงตายทั้งกลม (บางตำรา ศพสาวพรหมจรรย์) ศพนักบวช ศพคนตายเพราะถูกงูกัด หรือ ตายเพราะถูกฟ้าผ่า เหตุผลที่ไม่ต้องทำพิธีเผาคือ ศพเหล่านี้ถือว่ามีความบริสุทธิ์อยู่แล้ว ไม่ต้องชำระล้างด้วยไฟอีก กล่าวคือ ศพที่ถูกฟ้าผ่าก็เหมือนถูกไฟเผามาแล้ว ศพงูกัดแทนความเชื่อที่ว่าพระศิวะ(ซึ่งสวมสร้อยงู) ส่งงูมากัดเพื่อเลือกตัวไปรับใช้ หญิงตายทั้งกลมมีเด็กอยู่ด้วยจึงเข้าข่ายบริสุทธิ์เช่นกัน

 

…กรณีของศพทั้ง 5 ประเภทนี้ ไม่ต้องเผา หมายถึงให้ถ่วงน้ำได้เลย

 

ผมนั่งมองภาพการเผาศพอยู่นาน พระมหาสิงห์นับจำนวนศพที่กำลังถูกเผาได้ถึง 14 กอง สังเกตุเห็นภาพที่เหลือสุดท้ายเป็นเพียงตอตะโกขนาดยาวแค่ศอก ท้ายสุดจะมีคนใช้ไม้คีบนำมาโยนทิ้งลงสู่แม่น้ำคงคา น่าจะเป็นอันสิ้นสุดพิธีการ สิ้นสุดชีวิตในวิถีของชาวฮินดู

 

… มันเป็นสัจธรรมแห่งชีวิตที่ชาวฮินดูมองเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีภาพของน้ำตา การร้องไห้ หรือ การคร่ำครวญโหยหาอาลัยอาวรณ์ให้เห็น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความเชื่อที่ว่าผู้ตายได้ไปอยู่บนสวงสวรรค์ ได้ไปยังที่ๆดีกว่าโลกมนุษย์แห่งนี้แล้ว

 

อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำคงคาที่เรียกกันว่า “ฝั่งนรก” แลดูเป็นธรรมชาติที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ที่น่าจะสงบร่มรื่นและสวยงามไม่แพ้ “ฝั่งสวรรค์” หากแต่ผู้รู้ที่เคยไปเยือนเล่าขานให้ฟังว่า มิได้เป็นเช่นภาพที่เห็น
จากเรื่องราวของศพที่ไม่ต้องเผา 5 จำพวกนั้น หลายกรณี ซากศพเหล่านั้นก็ตกเป็นอาหารของปลาและสัตว์ใต้น้ำนานาชนิดไป แต่หลายกรณี เชือกที่รัดตรึงศพไว้กับก้อนหินนั้นหลุดขาดไป ศพจะลอยกลับขึ้นมาและถูกกระแสน้ำพัดพาไปยังฝั่งนรก สภาพซากศพที่เน่าฟอนเฟะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว และสุดท้ายถูกย่อยสลายให้เหลือไว้เพียงโครงกระดูกนับพันนับหมื่นหรือมากกว่านั้น … สัจธรรมแห่งชีวิตคงมีให้เห็นได้ไม่ว่าจะเป็นที่ฟากฝั่งแห่งสวรรค์หรือนรก

 

แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่กว้างมากสายหนึ่ง ในความกว้างนี้คงเปรียบได้กับความกว้างแห่งน้ำใจที่ยอมให้ผู้คนได้อาศัย อาบ ดื่ม ชำระล้างความสกปรกทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งคนเป็น ทั้งคนตาย คงหาภาพบรรยากาศของความกว้างแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วในโลกใบนี้ นอกจากที่นี่แห่งเดียว

 

พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าลงทุกขณะ ราตรีกำลังจะมาเยือนหากแต่วิถีแห่งฮินดูบนอีกฟากฝั่งกำลังจะเริ่มขึ้น ตั้งแต่เช้าจบค่ำ คงคา ไม่เคยหลับไหลเฉกเช่นกับชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่บนสายน้ำแห่งนี้

 

…อีกท่าน้ำหนึ่งซึ่งห่างจากท่ามณิกรรณิการ์มาไม่มากนัก ผู้คนมากมายกำลังหลั่งไหลมาร่วมงานพิธี “อารตีบูชา”

Leave a Reply